เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 at 00:01




























ข้อมูลทั่วไป - น้ำตกผานางคอย
น้ำตกผานางคอย ตั้งอยู่ตำบลบ่อแก้ว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ไหลมาจากเทือกเขาภูพาน แบ่งเป็นชั้นๆ มีความสวยงามมาก สภาพป่าโดยรอบเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ และลักษณะเด่นคือ มีน้ำไหลตลอดปีแม้ในฤดูแล้งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ไหลมาจากเทือกเขาภูพาน แบ่งเป็นชั้นๆ มีความสวยงามมาก สภาพป่าโดยรอบเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ และลักษณะเด่นคือ มีน้ำไหลตลอดปีแม้ในฤดูแล้ง

การเดินทาง : จากสี่แยกอำเภอเขาวงทางหลวงหมายเลข 2291 เดินทางเข้าทาง รพช. มีป้ายตรงไปน้ำตกผานางคอยระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร (ทางบางช่วงจะเป็นลูกรัง)

http://travel.sanook.com/northeast/karasin/karasin_02747.php

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 at 23:59


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

http://maps.google.co.th/maps?hl=th&source

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 23:51



















ภูปอเป็นเขาหินทราย มียอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 336 ม. เป็นที่ตั้งของวัดพระอินทร์ประทานพร และมีพระพุทธรูปแกะสลักอยู่บนแผ่นผาผนังถ้ำด้านทิศตะวันตกของภูปอ เป็นพระนอนทั้งสององค์ องค์แรกอยู่ใต้เพิงผาบริเวณเชิงเขาซึ่งอยู่สูงจากพื้นราบ 5เมตรองค์ที่ 2 อยู่ใต้เพิงผาเกือบถึงยอดเขา ต้องเดินขึ้นบันได 426 ขั้น โดยมีที่พักเป็นระยะ
พระไสยาสน์ องค์ที่ประดิษฐานอยู่ตรงเชิงเขา มีศาลาทรงไทยสร้างคลุมไว้ จากลักษณะศิลปะที่ปรากฏ ระบุได้ว่าเป็นศิลปะทวารวดี สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12-14 เป็นงานแกะสลักนูนต่ำบนแผ่นผาหินทราย ความยาว 3.3 ม. สูง 1.27 ม. นูนจากพื้นหิน 0.55 เมตร โดยแกะสลักเป็นองค์พุทธไสยาสน์บรรทมบนผืนผ้า มีหมอนหนุนพระเศียรและพระบาท องค์พระนอนตะแคงขวา เป็นลักษณะของพระนอนปางไสยาสน์ซึ่งเป็นปางที่มีในตำนานว่า พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์โดยทรงบรรทมให้วรกายใหญ่โตกว่ายักษ์ตนหนึ่งชื่ออสุรินทราหู ซึ่งไม่ยอมก้มหัวลงไปคุยกับมนุษย์ร่างเล็กเช่นพระพุทธเจ้า จนยักษ์ตนนี้ต้องลดทิฐิและเกิดศรัทธาแหงนหน้าขึ้นไปชมพระบารมีพระพุทธเจ้าส่วนองค์ที่ประดิษฐานอยู่เกือบถึงยอดเขา อยู่ในหลืบผาลึกเข้าไปเล็กน้อย ลักษณะศิลปะแบบทวารวดีผสมสุโขทัย สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 เป็นงานประติมากรรมนูนต่ำบนแผ่นผาหินทราย ความยาว 5.2 ม. สูง 1.5 ม. องค์พระประทับบนแท่นบรรทม โดยนอนตะแคงขวาเช่นกัน

ที่มาhttp://www.123thailandtravel.com/northeast/phutthasathan-phu-po.html

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 23:43


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น




http://maps.google.co.th/maps?hl=th&source=hp&q

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 23:31





ชื่อ : เขื่อนลำปาว
ที่ตั้ง : แม่น้ำลำปาว อ. เมือง จ. กาฬสินธุ์
ประเภทเขื่อน : เขื่อนดิน (Earthfill Dam)
ขนาดสันเขื่อน : สูง 33 เมตร ยาว 7,800 เมตร
(ปีที่สร้างเสร็จ) : 2506 - 2511 (ใช้เวลาสร้าง 6 ปี)
ขนาดความจุอ่าง : 1,340 ล้านลูกบาศก์เมตร
พื้นที่ชลประทาน : 303,400 ไร่ เขื่อนลำปาว
เขื่อนลำปาว อยู่ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ประมาณ 36 กิโลเมตร เป็นเขื่อนดินสูงจากท้องน้ำ 33 เมตร สันเขื่อนยาว 7.8 กิโลเมตร(ยาวที่สุดในประเทศไทย) สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยางที่บ้านหนองสองห้อง ทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำแฝดทางด้าน เหนือเขื่อนจึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสอง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อยใจ ได้แก่ หาดดอกเกด ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชายหาดของคนอีสาน
เขื่อนลำปาว สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดกาฬสินธุ์ มีลักษณะเป็นเขื่อนดิน สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นลำน้ำปาว และห้วยยาง บริเวณบ้านหนองสองห้อง ตำบลลำปาว อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเขื่อนลำปาว มีความยาวของสันเขื่อนถึง 7.8 กิโลเมตร ความกว้างของคันเขื่อนประมาณ 8 เมตร และความสูงของ ตัวเขื่อนมีความสูง 33 เมตร เขื่อนลำปาว มีการเริ่มการก่อสร้างเมื่อปี พุทธศักราช 2506 แล้วเสร็จในปี พุทธศักราช 2511 สามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 1,430 ล้านลูกบาศก์เมตร

จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของ เขื่อนลำปาว

•เที่ยวชมสันเขื่อนและทัศนียภาพของทะเลสาบ ที่มีความยาวมากถึง 7.8 กิโลเมตร และสูงถึง 33 เมตร สามารถมองเห็นสัน เขื่อนทอดยาว ไปไกลสุดลูกหูลูกตา เหมาะสำหรับเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ ของจังหวัดกาฬสินธุ์
•หาดดอกเกด เป็นสถานที่บริเวณหัวเขื่อน ลักษณะจะเป็นชายหาดกรวด ไม่ลึกชัน สามารถลงเล่นน้ำได้ ซึ่งบริเวณนี้ เปรียบเสมือนทะเลของภาคอีสาน เพราะบรรยากาศคล้ายๆ กับหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี
http://www.onlinemoneyusd.ws/travel/Isan/Kalasin/Lam-Pao.html

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 23:30


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

http://maps.google.co.th/maps?hl=th&source=hp&q

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 23:10


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 at 02:35


เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 02:32


เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 at 02:40


อินเทอร์เน็ต
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก เพราะสามารถทำงานได้สารพัด ตั้งแต่การจัดทำเอกสาร การช่วยทำบัญชี ไปจนถึงการดูหนังฟังเพลง เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้มีการนำมาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดการสื่อสารข้อมูล ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะเราสามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เริ่มแรกเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาเชื่อโยงกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ภายในมหาวิทยาลัยหรือภายในองค์กร ต่อมาได้มีการนำเอาเครือข่ายย่อย ๆ นั้นมาเชื่อมโยงกันจนเกิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ที่ถูกขนานนามว่าอินเทอร์เน็ต ซึ่งเชื่อมต่อมากกว่า 50 ล้านเครื่องทั่วโลกและได้มีการประมาณการว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์มากกว่า 300 ล้านเครื่องทั่วโลก

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต

เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้หลายด้าน ขึ้นกับลักษณะการใช้งานของเราซึ่งสามารถสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้

1 สื่อสารกับผู้อื่น
เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตในการสื่อสารกับผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใดก็ตาม ซึ่งนอกจากการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคส์ ( e-mail ) การ์ดอวยพรที่มีเสียงและภาพเคลื่อนไหว หรืออาจใช้เสียง ภาพ และข้อความสื่อสารกันแบบทันทีได้ ซึ่งนอกจากจะติดต่อกับคนที่เรารู้จักแล้ว เราสามารถหาเพื่อนใหม่ในอินเทอร์เน็ต และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขาได้ด้วย

2 แหล่งความรู้
อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนแหล่งความรู้ที่มีข้อมูลมากมายที่เราสามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งไม่เป็นเพียงข้อความเท่านั้น แต่มีทั้งเสียง ภาพ ภาพยนต์ แหล่งข่าวสารและความบันเทิง เราสามารถติดตามข่าวล่าสุด ดูหนังฟังเพลง และภาพยนต์ล่าสุด ไม่ว่าจากในประเทศหรือต่าง ประเทศได้

3 จับจ่ายสินค้าและบริการ
อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งจับจ่ายสินค้าและบริการมากมาย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทนับหมื่นที่หันมาประชาสัมพันธ์ตัวเอง และให้บริการลูกค้าบนอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง เราสามารถขอข้อมูลสินค้าและบริการ และเปรียบเทียบราคาได้อย่างสะดวก และเมื่อชอบใจสินค้าใดก็สั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตได้เลย

4 ศูนย์รวมสารพัดโปรแกรมใช้งาน และเกมส์
ในอินเทอร์เน็ตมีโปรแกรมใช้งานและเกมส์มากมายที่เราสามารถนำมาใช้ได้ มีตั้งแต่โปรแกรมประเภทฟรีแวร์ ( freeware ) ที่เรานำมาใช้ได้ฟรี หรือโปรแกรมประเภทแชร์แวร์ ( shareware ) ที่ให้เราได้ทดลองใช้งานก่อนและซื้อมาใช้จริงหลังหมดเวลาทดลอง
http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=1173

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 02:26


อินเตอร์เน็ตคืออะไร

ในสังคมยุคข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า “อินเตอร์เน็ต” เหตุเพราะอินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนจำนวนมากในโลกนี้ไปแล้ว ประมาณกันว่าในแต่ละวันมีผู้คนมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศต่างๆ กว่า 150 ประเทศทั่วโลกกำลังใช้อินเตอร์เน็ตกันอยู่ อาจเป็นนักศึกษาคนหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่กำลังสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ หรือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นกำลังสั่งซื้อหนังสือจากประเทศไทย เป็นต้น การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตดังที่ได้กล่าวมานี้ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพของการสื่อสารที่ไร้พรมแดนได้อย่างชัดเจน
การใช้อินเตอร์เน็ตในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น โดยได้ก้าวล่วงเข้าไปในทุกสาขาอาชีพ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการศึกษาหรือการวิจัยเหมือนเมื่อเริ่มมีการใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ด้วยคุณสมบัติการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ ทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาขององค์กรทั้งหลาย ได้มีความพยายามนำอินเตอร์เน็ตมาใช้เพื่อประโยชน์สำหรับหน่วยงานของตนในรูปแบบต่างๆ อาทิ การประชาสัมพันธ์องค์กร การโฆษณาสินค้า การค้าขาย การติดต่อสื่อสาร ฯลฯ นอกจากนี้อินเตอร์เน็ตยังกลายเป็นอีกสื่อหนึ่งของความบันเทิงภายในครอบครัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถกระทำผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น

1. ความหมายของอินเตอร์เน็ต
“อินเตอร์เน็ต” มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
คำว่า “เครือข่าย” หมายถึง
1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรง) และหรือสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม)
2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์
3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน

2. หน้าที่และความสำคัญของอินเตอร์เน็ต
การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วยงาน และอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเต็มที่
อินเตอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิงและวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลายคือ
1. การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
2. อินเตอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกันห่างกันคนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึงกันได้
3. อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้
คำอื่นที่ใช้ในความหมายเดียวกับอินเตอร์เน็ต คือ Information Superhighway และ Cyberspace

3. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในพ.ศ. 2535 โดยเริ่มที่สำนัก วิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ 2 วงจร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมเชื่อมโยงเครือข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยายไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ
สำหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริษัทสำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เอกชนและบุคคลทั่วไปที่นิยมเรียกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailand) บริษัทเคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจำกัด (Internet KSC) บริษัทล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจำกัด (Loxinfo) เป็นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้บริการจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ
1. อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี
2. คำนวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสียเวลารอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้
3. ความเร็วของสายที่ใช้
4. พื้นที่ในการให้บริการ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยู่ในจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่วนใหญ่มักให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 02:24


เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 at 23:35


อินเทอร์เน็ต คือ การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet = Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) อาร์ป้าเน็ตได้รับทุนสนันสนุนจากหลายฝ่าย และเปลี่ยนชื่อเป็นดาป้าเน็ต (DARPANET = Defense Advanced Research Projects Agency Network) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบาย และได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิดจาก 4 เครือข่ายเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ 1)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลองแองเจอลิส 2)สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด 3)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาบาร่า และ4)มหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่งดาป้าเน็ตได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในอินเทอร์เน็ต, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัครทั้งสิ้น
ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) ดาป้าเน็ตตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ จึงเป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน เพราะ TCP/IP เป็นข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกสื่อสารด้วยความเข้าใจบนมาตรฐานเดียวกัน
ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) ดาป้าเน็ตได้มอบหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบอินเทอร์เน็ตให้มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน
ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เริ่มใช้การกำหนดโดเมนเนม (Domain Name) เป็นการสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution Database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บไซต์ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ในเครื่องบริการโดเมนเนมหรือไม่ ถ้ามีก็จะตอบกับมาเป็นหมายเลขไอพี ถ้าไม่มีก็จะค้นหาจากเครื่องบริการโดเมนเนมที่ทำหน้าที่แปลชื่ออื่น สำหรับชื่อที่ลงท้ายด้วย .th มีเครื่องบริการที่ thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของโดเมนเนมที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด
ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) ทิม เบอร์เนอร์ส ลี (Tim Berners-Lee) แห่งศูนย์วิจัย CERN ได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ขึ้น สามารถเปิดด้วย เว็บเบราวเซอร์ (Web Browser) ตัวแรกมีชื่อว่า WWW (World Wide Web) แต่เว็บไซต์ได้รับความนิยมอย่างจริงจัง เมื่อศูนย์วิจัย NCSA ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เออร์แบน่าแชมเปญจ์ สหรัฐอเมริกา ได้คิดโปรแกรม MOSAIC (โมเสค) โดย Marc Andreessen ซึ่งเป็นเว็บเบราว์เซอร์ระบบกราฟฟิก หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสคก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป (Browser Timelines: Lynx 1993, Mosaic 1993, Netscape 1994, Opera 1994, IE 1995, Mac IE 1996, Mozilla 1999, Chimera 2002, Phoenix 2002, Camino 2003, Firebird 2003, Safari 2003, MyIE2 2003, Maxthon 2003, Firefox 2004, Seamonkey 2005, Netsurf 2007, Chrome 2008)
ในความเป็นจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ติดสิน ผู้เสนอ ผู้ทดสอบ ผู้กำหนดมาตรฐานก็คือผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ก่อนประกาศเป็นมาตรฐานต้องมีการทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้นก่อน ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain Name ก็จะยึดตามนั้นต่อไป เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลพื้นฐานอาจต้องใช้เวลา

เขียนโดย Jaewja | ป้ายกำกับ: | Posted On at 22:50